ติดตั้ง/อัปเดตเป็น Windows11 บน MacbookPro (Intel-Based) ผ่าน BootCamp Assistant แก้ปัญหา TPM2.0

Note: บทความนี้จะเน้นสำหรับคนที่ใช้ Windows10 บน Macbook อยู่แล้ว แล้วอยากอัปเกรดขึ้นไปเป็น Windows11 นะครับ แต่ก็สามารถใช้ได้สำหรับคนที่พบปัญหาไม่สามารถติดตั้ง Windows11 ตรง ๆ ผ่าน Boot Camp Assistant ได้เช่นกันครับ

เกริ่นนำ (บ่นไปเรื่อย ข้ามได้เลยครับ)

วันนี้ไม่มีอะไรมากครับ สืบเนื่องจากเพิ่งผันตัวมาเป็น MacOS User อย่างจริงจัง เมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากได้ MacbookPro2020 มาดองไว้ซะเนิ่นนาน ก็ใช้ได้ดีไม่มีปัญหา แต่บางครั้งคราวก็อยากมีบ้านหลังเก่าอย่าง Windows ที่เรารักไว้ทำอะไรต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็เลยตัดสินใจลง Windows ผ่าน Bootcamp Assistant นั่นแหละ แต่พอใช้ไปสักพักก็ไม่ได้สลับไปฝั่ง Windows เลย จนไฟล์มันเริ่มล้นไปล้นมา โหลดซอฟต์แวร์มั่ว ๆ ซั่ว ๆ บ้างในช่วงลองใช้ MacOS ซึ่งตอนนี้คิดว่าอยู่ตัวแล้ว เลยคิดจะล้างเครื่อง ซึ่งเจ้า Windows ที่เรารักเนี่ย ก็หายไปด้วย เพราะว่าผมเลือกแนวทาง Clean Install ใหม่หมดจด ก็เลยคิดว่าอยากลอง Windows11 หลังจากไม่ยอมมูฟออนจาก Windows10 มาหลายปี (ตั้งแต่มันเปิดตัวเลยก็ว่าได้) ก็คิดว่ามันคงง่าย ๆ ไม่มีอะไร ก็เอา Windows11.iso โยนลงไปใน Bootcamp Assistant นั่นแหละ แต่ไหงติดตั้งเสร็จแล้วมันเป็น Windows 10 กลับมาก็ไม่รู้เหมือนกัน (อาจจะเลือกผิดไฟล์กระมัง) แต่ก็ขี้เกียจมารื้อ ล้าง แล้ว เลยพยายามอัปเกรดขึ้นไป แต่พบปัญหา TPM2.0 และ SecureBoot ก็เลยทิ้งไปซะนาน จนกลับมาวันนี้นี่แหละครับ –“

อัปเกรดไปได้ยังไงเมื่อมันไม่ผ่าน System Requirement ?

ถ้าจะตอบแบบสั้น ๆ ก็คงใช้วิธี Bypass ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละครับ แก้ Registry อะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าจะให้ตอบยาว ๆ ก็ดังนี้ครับ

เตรียมพร้อมในการอัปเกรดไป Windows11 (จะได้ไม่ยุ่งยากแบบผม)

เตรียมพร้อมแบบละเอียด

ขั้นแรกก็ดาวน์โหลดไฟล์ Windows11.iso จากช่องทางที่สะดวก (โหลดในฝั่ง MacOS หรือฝั่ง Windows ก็ได้) ในที่นี้จะยกตัวอย่างจากทาง Microsoft โดยตรง ก็สามารถเข้าตามลิงก์ที่ให้ไว้ ไปที่ Select Download เลือกเวอร์ชันที่ตรงใจกับคุณ แล้วก็กดปุ่ม Download Now ตามภาพนี้ได้เลยครับ หลังจากนั้นก็เลือกภาษาของ Windows ที่ต้องการแล้วกด Confirm จากนั้นให้รอสักพัก แล้วจะมีปุ่มดาวน์โหลดปรากฎ ก็ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ได้เลย แต่ไฟล์นี้จะต้องอยู่ในฝั่ง Windows เท่านั้นนะครับ นั่นหมายความว่า จะโหลดใน Windows ไปเลยก็ได้ หรือจะโหลดฝั่งทาง MacOS แล้วโยนเข้าไปใน Boot Camp ก็ตามสะดวกครับ

ต่อมาก็โหลดไฟล์ Driver หรือที่ Mac เรียกว่า WindowsSupport นั่นแหละ วิธีก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ เพียงเข้าไปที่ Bootcamp Assistant จากนั้นก็ไปที่ Actions บนแถบ Menu Bar แล้วเลือกคำว่า Download Windows Support Software ได้เลยครับ เลือกที่เก็บไฟล์ แล้วก็เซฟไปได้เลย แต่ ไฟล์นี้ก็ต้องอยู่ฝั่ง Windows เช่นกันครับ หรือจะโยนเข้า USB Drive ก็ได้ เพราะไฟล์นี้จะไม่ได้ใช้ทันทีครับ แต่จะใช้ตอนเราติดตั้ง Windows11 เสร็จแล้วนั่นแหละ

พร้อมแล้วก็ลุยได้เลยครับ

กรณีของผม จะพูดถึงกรณีที่ผมมี Windows10 ที่ติดตั้งอยู่แล้ว อัปเกรดไปเป็น Windows11 นะครับ และเครื่องของผมเป็น Intel Based (MBP2020 Intel Core i51028NG7) ครับ

บูตเข้า Windows10 และดำเนินการเปิดไฟล์ติดตั้ง Windows11 จากไฟล์ ISO

โดยวิธีก็ให้ทำการคลิกขวาที่ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา เลือก Open With แล้วใช้ Windows Explorer เปิดได้เลย จากนั้นจะได้ Drive เพิ่มขึ้นมา 1 รายการ ให้จำไว้ให้ดีว่าไดรฟ์ที่เพิ่มมานั้น เป็น Letter อะไร เช่นในภาพนี้จะเป็น ไดรฟ์ D เป็นต้น (ต่อไปนี้จะเรียกว่า Drive Letter)

เรียกไฟล์ติดตั้ง Windows11 ผ่านการ RunPath

จากนั้นให้กด Command+R หรือ Windows+R ก็ขึ้นอยู่กับ Keyboard Layout ของคุณ ระบบจะปรากฎหน้าต่าง Run ให้พิมพ์ Drive Letter ของคุณ แล้วต่อด้วย sources\setup.exe เช่น d:\souces\setup.exe หากระบบขึ้นให้กด Yes ก็กดยืนยันไปได้เลย จากนั้นจะขึ้นหน้าการติดตั้งขึ้นมาแล้ว จากนั้นให้กด Shift+F10 เพื่อเรียก Command Prompt ออกมาเพื่อทำการ Bypass TPM2.0 กันครับ

พอเจอไฟล์แบบนี้แล้ว ก็ให้กด OK ได้เลยครับ ถ้าขึ้นเรื่อง Security ก็ให้กด Run แล้วกด Yes ไปได้เลย จากนั้นจะได้หน้าติดตั้งที่เต็มจอเข้ามาแล้ว

เริ่มติดตั้ง Windows11

มีหน้าต่างให้กดเลือกอัปเดต หากช่อง I wan to help… ด้านล่างนี้ติ๊กถูกอยู่ ก็นำออกแล้วกด No thanks ได้เลยครับ หลังจากนี้จะเป็นหน้าต่าง Activate Windows ก็สามารถใส่ Key หรือจะข้ามไปด้วยการกด I don’t have a product key ก็ได้เช่นกันครับ ซึ่งในที่นี้จะข้ามไปก่อนครับ จากนั้นก็เลือก Windows Edition ที่ต้องการใช้งาน แล้วกด Next ได้เลย

แก้ไขปัญหา System Requirement (This PC can’t run Windows 11)

มาแล้วครับ หน้าต่างเจ้าปัญหาที่ทำให้เราไม่ได้ไปต่อกับ Windows11 ทีนี้แหละ จะมาแก้ไขกัน

ให้กด Shift+F10 (หากใช้ MacBook ที่มี Touchbar ก็กด Shift+fn+F10 ได้เลยครับ) จากนั้นหน้าต่าง Command Prompt จะขึ้นมา พิมพ์คำสั่ง regedit แล้ว Enter จะได้หน้าต่าง Registry Editor จากนั้น ให้ดูที่ HKEY_LOCAL_MACHINE -> SYSTEM แล้วสร้างคีย์ใหม่ ชื่อว่า LabConfig ตามภาพ แล้วจากนั้นก็เริ่มใส่ค่าต่าง ๆ ในคีย์นั้นอีกที

พอได้คีย์ที่สร้างไว้แล้ว จะได้ค่า Default อยู่หนึ่งตัว ตรงนั้นปล่อยทิ้งไปได้เลยครับ ให้คลิกขวาในหน้าต่าง เลือก New จากนั้นให้เลือกค่า DWORD (32-bit) Value

จากนั้นระบบจะให้ใส่ค่า สามารถกรอกค่า BypassTPMCheck แล้วกด Enter จากนั้นกด Enter ย้ำอีกครั้งเพื่อแก้ไขค่า (Value) จาก 0 ให้เป็น 1 เลือก Base เป็น Hexademical แล้วกด OK ได้เลย

ต่อไปก็ให้ทำในลักษณะเดียวกัน แต่ให้เพิ่มค่าดังนี้ โดยทั้งหมดสามารถทำในแบบเดียวกันกับ BypassTPMCheck ได้เลย

  1. BypassTPMCheck
  2. BypassSecureBootCheck
  3. BypassCPUCheck
  4. BypassRAMCheck (ไม่จำเป็นต้องใส่)

หลังจากนั้นก็ให้ปิดหน้าต่าง Registry Editor และ Command Prompt ได้เลย จากนั้นจะกลับไปเจอหน้าต่างเจ้าปัญหา ก็ให้กดปุ่มย้อนกลับสีฟ้า แล้วเลือกรุ่น Windows ที่ต้องการอีกครั้ง จากนั้นก็กด Next จะเห็นว่าสามารถเข้ามาที่หน้าติดตั้งได้แล้ว

จากนั้นก็ ยอมรับเงื่อนไขของลิขสิทธิ์ Windows ให้เรียบร้อยและกด Next ก็จะได้หน้าต่างเลือกการติดตั้งนี้มาครับ ซึ่งจะอัปเกรดไปเลยก็ได้ หรือจะ Custom เพื่อ Clean Install ก็ได้เช่นกัน (ในที่นี้จะเลือก Clean Install)

หลังจากนั้นก็เลือก Partition ที่ต้องการติดตั้ง Windows11 (ในที่นี้จะเลือกลงทับของเดิมไปก่อน) ระบบจะเตือนว่า มันมีของเดิมอยู่แล้วนะ เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็จะอยู่ที่ C:\windows.old ก็กด OK ไปได้เลยครับ

หลังจากกด OK แล้ว ระบบก็จะทำการติดตั้ง Windows11 ลงบนเครื่อง Mac ของเรา หากขึ้นหน้า Windows Boot Manager ก็ให้เลือก Windows11 หรือถ้ามีคำว่า Windows Installer ก็ให้เลือกรายการนั้นได้เลยครับ จากนั้นระบบก็จะรันไปต่อให้เราจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

ข้ามการติดตั้ง Microsoft Account (BypassNRO)

หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว จะขึ้นหน้าให้เราเริ่มตั้งค่าต่าง ๆ ในเครื่องของเรา ก็ให้กด Shift+F10 เช่นเดิม (หากแป้นพิมพ์ใช้ไม่ได้ ข้างล่างมีทางออกครับ) เพื่อเรียกหน้าต่าง Command Prompt มาอีกครั้ง แล้วใช้คำสั่ง oobe\bypassnro แล้วกด Enter เพื่อเป็นการ Bypass การตั้งค่า Microsoft Account ออกไปก่อนครับ เนื่องจากบางเครื่อง หากใช้ Wifi เป็นหลัก อาจพบปัญหาไม่มี Driver ในการออกเน็ตเพื่อตั้งค่า Microsoft Account

หากแป้นพิมพ์ใช้ไม่ได้ และคุณไม่มีแป้นพิมพ์ต่อแยก

กรณีที่ไม่มีแป้นพิมพ์ มีแต่เมาส์ ให้ไปใช้ On Screen Keyboard (หรือ OSK) ได้เลยครับ โดยวิธีเรียกใช้งาน ก็ดังนี้

  1. กดที่สัญลักษณ์ Accessibility ที่เป็นลักษณะคนยืน อยู่ข้างลำโพงมุมขวาล่างหน้าจอ
  2. เลือกเปิด On Screen Keyboard (ต่อไปนี้จะเรียก OSK) แล้วใช้เมาส์คลิกทีละตัวแทนการใช้คีย์บอร์ดได้เลย

หลังจากนั้นก็ตั้งค่า Windows ตามปกติได้เลยครับ จนเข้าไปถึงหน้า Desktop ได้ ทีนี้เราจะมาแก้ปัญหา Driver ทั้งหมดกัน

แก้ปัญหา Driver (Wifi, Trackpad, Keyboard)

ให้เตรียมโฟลเดอร์ Windows Support ที่โหลดจาก Boot Camp Assistant โยนเข้ามาในเครื่อง หรือจะติดตั้งผ่าน USB Drive เลยก็ได้ โดยโฟลเดอร์นี้จะบรรจุ Driver ที่จำเป็นอยู่ข้างใน โดยให้เข้าไปที่โฟลเดอร์ WindowsSupport > BootCamp และเปิดไฟล์ที่ชื่อ Setup.exe จากนั้นทำการติดตั้งให้เรียบร้อยครับ (อาจจะใช้เวลาสักหน่อย เนื่องจากมีขนาดค่อนข้างใหญ่) หลังจากนั้นจะพบว่าคุณจะสามารถใช้แป้นพิมพ์, Trackpad และ Wi-Fi ได้แล้ว ขั้นตอนนี้หากมีหน้าต่างขึ้นให้ Restart เครื่อง แนะนำให้กด No ไปก่อน เพื่อยังไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่อง แต่ขออีกนิดนึงละกันครับ

อัปเดต Driver ให้เป็นปัจจุบัน

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ทำการอัปเดต 1 ครั้ง ครับ โดยไฟล์อัปเดต ให้เข้าไปที่ C:\Program Files (x86)\Apple Software Update ตามภาพด้านล่างนี้ ในขั้นตอนการอัปเดตนี้ ค่อนข้างแนะนำให้ทำ เนื่องจากในอัปเดตมีการแก้ไขเรื่อง Trackpad ให้รองรับ Multi-Touch บน Windows ด้วย ทำให้เราได้ฟีเจอร์ Natural Scroll และการปัดสามนิ้วเพื่อสลับหน้าจอต่าง ๆ บน Windows เพิ่มด้วย

เมื่อเข้ามาแล้ว จะเจอกับไฟล์ SoftwareUpdate.exe ให้ทำการรันไฟล์ขึ้นมา จะพบหน้าต่างดังภาพด้านล่าง ในครั้งแรกจะมีอัปเดตสองรายการ ก็ให้เลือกทั้งหมด แล้วกด Install ได้เลยครับ ในขั้นตอนนี้จะใช้เน็ตฯ ในการตรวจสอบการอัปเดต และดาวน์โหลดอัปเดตครับ เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ให้ลองกลับมาเช็คอีกครั้ง จะพบข้อความ Your software is up-to-date ก็เป็นอันเสร็จสิ้นครับ ให้ทำการ Restart เครื่อง และทดลองใช้งาน Windows 11 ของคุณได้เลย ^^

ฟีเจอร์ที่ได้เพิ่มเติมมาหลังอัปเดต ซึ่งถ้าใครไม่ได้ใช้ก็ข้ามไปได้เลยครับ

เพิ่มเติม

เนื่องจากในกรณีของผมเป็นการลงทับ Windows10 ฉะนั้นจะมีไฟล์ระบบเก่า ๆ จาก Windows10 เดิมอยู่ ฉะนั้น ถ้าอยากได้พื้นที่เพิ่ม แนะนำให้เข้าไปที่ C:\Windows.old แล้วนำไฟล์ที่สำคัญของคุณออกมา (มักจะอยู่ใน C:\windows.old\users\username (Username คือชื่อผู้ใช้ของคุณนั่นแหละ)) จากนั้นก็ลบทิ้งทั้ง Folder ไปได้เลยครับบ เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นแล้วว

thanak0rnnn
thanak0rnnn
Articles: 19